วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บ้านคลองโสด

Thailand 1:50,000 WGS84
Edition 1RTSD, Series L7018, Sheet 4728 II

Slope

A-B =0

X2-X1 =1:1.67

Y2-Y1 =1:2.92

Ri-Rf =1:6.25

การสร้างเขื่อนเก็บน้ำบริเวณนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างจากชุมชน แต่เป็นการสร้างเพื่อรักษาต้นน้ำให้คงอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถปลูกต้นไม้รอบบริเวณเขื่อน

Landslide
Landslide คือการเคลื่อนที่ของมวลดิน หรือหิน ลงมาตามลาดเขาด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก โดยปรกติ ดินถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนใหญ่ “ น้ำ ” จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดดินถล่มเสมอ โดยน้ำจะเป็นตัวลดแรงต้านทานในการเคลื่อนตัวของมวลดินหรือหิน และน้ำจะเป็นตัวที่ทำให้คุณสมบัติของดินที่เป็นของแข็งเปลี่ยนไปเป็นของไหลได้
ดินถล่ม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดได้ทั่วไปในบริเวณภูเขาที่มีความลาดชันสูง อย่างไรก็ตาม ในบริเวณที่มีความลาดชันต่ำก็สามารถเกิดดินถล่มได้ถ้ามีปัจจัยที่ก่อให้เกิดดินถล่ม โดยทั่วไปบริเวณที่มักจะเกิดดินถล่ม คือ บริเวณที่ใกล้กับแนวรอยเลื่อนที่มีพลังและมีการยกตัวของแผ่นดินขึ้นเป็นภูเขาสูง บริเวณที่ทางน้ำกัดเซาะเป็นโตรกเขาลึกและชัน บริเวณที่มีแนวรอยแตกและรอยแยกหนาแน่นบนลาดเขา บริเวณที่มีการผุพังของหินและทำให้เกิดชั้นดินหนาบนลาดเขา ในบริเวณที่มีความลาดชันต่ำและมีดินที่เกิดจากการผุพังของชั้นหินบนลาดเขาหนา ดินถล่มมักเกิดจากการที่น้ำซึมลงในชั้นดินบนลาดเขาและเกิดแรงดันของน้ำเพิ่มขึ้นในชั้นดินโดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกหนัก

การจำแนกชนิดของดินถล่ม

เกณฑ์ในการจำแนกชนิดของดินถล่ม และการพังทลายของลาดเขา มีหลายอย่าง เช่น ความเร็วและกลไกในการเคลื่อนที่ ชนิดของตะกอน รูปร่างของรอยดินถล่ม และปริมาณของน้ำที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการดินถล่ม การจำแนกชนิดของดินถล่มที่ใช้กันแพร่หลายได้แก่การจำแนกโดย Varnes, 1975 ซึ่งอาศัยหลักการจำแนก ชนิดของของวัสดุที่พังทลายลงมา ( Type of material ) และลักษณะการเคลื่อนที่ ( Type of movement )
ประเภทของดินถล่มจำแนกตามลักษณะการเคลื่อนที่ของวัตถุที่พังทลายลงมา ได้แก่
• การร่วงหล่น ( Falls) เป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วลงมาตามลาดเขาหรือหน้าผาสูงชัน โดยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก อาจเกิดการตกอย่างอิสระ หรือมีการกลิ้งลงมาตามลาดเขาร่วมด้วย โดยมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นตะกอนดินหรือหินที่พังทลายลงมาจะกองสะสมกันอยู่บริเวณเชิงเขาหรือหน้าผานั้นเอง ถ้าเป็นหน้าผาหินและตะกอนที่ตกลงมาส่วนมากเป็นหิน เรียกว่า “Rock fall” (รูปที่ 1 และ 2 ) ส่วนถ้าเป็นหน้าผาดินและตะกอนที่ตกลงมาเป็นดินเม็ดหยาบ เรียกว่า “Debris fall” และถ้าตะกอนที่ตกลงมาเป็นดินเม็ดละเอียด เรียกว่า “Earth fall”
• การล้มคว่ำ ( Topples) เป็นการเคลื่อนที่โดยมีการหมุน หรือล้มคว่ำลงมาตาม ลาดเขา มักพบว่าเกิดเชิงหน้าผาดินหรือหินที่มีรอยแตกรอยแยกมาก โดยกระบวนการเกิดดินถล่มมี น้ำเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย หรือไม่มีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง
• การลื่นไถล ( Slides) การเกิดดินถล่มชนิดนี้มีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ สามารถ จำแนกตามลักษณะของระนาบการเคลื่อนที่ ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
- Rotational slide เป็นการลื่นไถล ของวัตถุลงมาตามระนาบของการเคลื่อนที่ที่มีลักษณะโค้งครึ่งวงกลมคล้ายช้อน ( Spoon-shaped ) ทำให้มีการหมุนตัวของวัตถุขณะเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่จะเป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึ้นในบริเวณที่ดินมีความเป็นเนื้อเดียวกัน ( Homogeneous material ) เช่น บริเวณที่ชั้นดินหนามาก หรือ ดินที่นำมาถม เป็นต้น - Translational slide เป็นการลื่นไถลลงมาตามระนาบการเคลื่อนที่มีลักษณะค่อนข้างตรง ส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนที่ตามระนาบของโครงสร้างทางธรณีวิทยา เช่น ตามระนาบรอย แตก ( joint ) ระนาบทิศทางการวางตัวของชั้นหิน ( bed ) รอยต่อระหว่างชั้นดินและหิน
• การแผ่ออกทางด้านข้าง ( Lateral spread ) ส่วนใหญ่จะเกิดบนพื้นราบ หรือพื้นที่ที่มีความลาดชันน้อย โดยชั้นดินจะประกอบด้วยตะกอนขนาดละเอียดมาก การเกิดส่วนมากเกี่ยวข้องกับกระบวนการ liquefaction เมื่อชั้นตะกอนละเอียดที่อิ่มตัวด้วยน้ำมีพฤติกรรมเหมือนของไหลเนื่องจากอิทธิพลของแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว หรือจากการที่มีหินหรือดินที่แข็งและไม่อุ้มน้ำวางตัวทับอยู่บนชั้นดินที่อุ้มน้ำ เมื่อชั้นดินที่อุ้มน้ำถูกทับด้วยน้ำหนักที่มากก็จะไหลออกด้านข้าง ทำให้ชั้นดิน ชั้นหินที่อยู่ด้านบนแตกออกและยุบตัว (รูปที่ 9 และ10 )
.การไหล (Flows) กระบวนการเกิดดินถล่มมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด น้ำทำให้ ตะกอนมีลักษณะเป็นของไหลและเคลื่อนที่ไปบนพื้นระนาบลาดเขา ลงไปกองทับถมกันที่ช่วงล่างของ ลาดเขาหรือเชิงเขา ตะกอนอาจเคลื่อนที่ไปได้เป็นระยะทางไกล และความเร็วในการเคลื่อนที่อาจสูงมาก ถ้าลาดเขามีความชันสูง ดินถล่มชนิดนี้ยังแบ่งตามชนิดของตะกอนได้เป็น 5 ชนิด คือ
• Debris flow ตะกอนที่ไหลลงมาจะมีหลายขนาดปะปนกันทั้งตะกอนดิน หินและซากต้นไม้ และมักเกิดขึ้น ตามทางน้ำเดิมที่มีอยู่แล้วหรือบนร่องเล็ก ๆ บนลาดเขา โดยมีน้ำซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงฤดูฝนของแต่ละพื้นที่ เป็นตัวกลางพัดพาเอาตะกอนดินและหิน รวมถึงซากต้นไม้ ต้นหญ้าไหลมารวมกัน ก่อนที่จะไหลลงมากองทับถมกันบริเวณที่ราบเชิงเขาในลักษณะของเนินตะกอนรูปพัดหน้าหุบเขา
• Debris avalanche เป็นการเคลื่อนที่ลงมาตามลาดเขาของมวลดินที่ประกอบด้วยตะกอนหลายขนาดปนกันและมีขนาดร่องรอยของดินถล่มที่ใหญ่ บางแห่งขนาดความกว้างมากกว่า 3 กิโลเมตร (L.M. Highland and P. Bobrowsky, 2008)
• Earth flow เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินที่ประกอบด้วยตะกอนขนาดละเอียดจำพวกดินเหนียว ดินทรายแป้ง ตามพื้นที่ที่มีความลาดชันไม่มากนัก
.Mud flow มีกระบวนการเกิดเช่นเดียวกับ Debris flow แตกต่างกันที่ขนาดของตะกอนแบบ Mud flow จะมีขนาดเล็กกว่าตะกอน Debris flow คือประกอบไปด้วยตะกอนดิน และมีน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ (อาจสูงถึงร้อยละ 60)
• Soil creep ( Slow Earthflow) เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินอย่างช้า เนื่องจากกระบวนการสูญเสียแรงต้านทานการไหล ของชั้นดิน ส่งผลให้เกิดแรงผลักดันให้ชั้นดินมีการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แต่ไม่ มากพอที่จะทำให้เกิดการพังทลายของมวลดิน ซึ่งหลักฐานที่ใช้ในการสังเกตุ คือแนวรั้วหรือกำแพง และหรือต้นไม้ที่ขึ้นในบริเวณนั้นมีการเอียงตัวหรือบิดเบี้ยวไปจากเดิม


ชนิดของดินถล่ม และปัจจัยการเกิดดินถล่ม

ชนิดของดินถล่มที่พบในประเทศไทย จากการศึกษาการแผ่กระจายของรอยดินถล่ม ในพื้นที่ที่เคยเกิดดินถล่มในประเทศไทยส่วนใหญ่ พบว่ารอยของดินถล่มมีลักษณะเกิดร่วมกันได้หลายแบบ และมักเกิดตามทางน้ำเดิมที่มีอยู่แล้วหรือบนร่องเล็ก ๆ บนลาดเขาที่น้ำมักไหลมารวมกันเมื่อมีฝนตก และมีความลาดชันสูงมากกว่า ร้อยละ 30 และเมื่อพิจารณาเฉพาะจุดบนภูเขาสูงพบว่าบริเวณที่ชั้นดินหนาส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ Debris avalanche และ Rotational slide ส่วนบริเวณที่ชั้นดินบางจะเป็นแบบ Translational slide เป็นส่วนใหญ่ และจากการที่ดินถล่มในประเทศไทยเกิดร่วมกับการที่มีฝนตกเป็นปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นชนิดของรอยดินถล่มโดยภาพรวม จึงเป็นแบบ Flows เป็นส่วนใหญ่ ตะกอนดินทราย ที่พังทลายเนื่องจากดินถล่ม ก็จะถูกพัดพาโดยน้ำ ออกจากที่เกิดการถล่มลงไปสู่เบื้องล่าง ก่อนที่จะไหลลงมากองทับถมกันบริเวณที่ราบเชิงเขาในลักษณะของเนินตะกอนรูปพัดหน้าหุบเขา ซึ่งเป็นรูปแบบของ Debris flow

ปัจจัยการเกิดดินถล่ม

ดินถล่มที่เกิดขึ้นในปะเทศไทยเกิดจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ดังนี้คือ (คณะสำรวจพื้นที่เกิดเหตุดินถล่มภาคเหนือตอนล่าง, 2550 )
1.สภาพธรณีวิทยา
โดยปกติชั้นดินที่เกิดการถล่มลงมาจากภูเขา เป็นชั้นดินที่เกิดจากการผุกร่อนของหิน ให้เกิดเป็นดิน โดยหินแต่ละชนิดเวลาผุจะให้ชนิดและความหนาของดินที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากชั้นหินแต่ละชนิดมีอัตราการผุพังไม่เท่ากัน เช่น
หินแกรนิต จะมีอัตราการผุพังสูง แร่องค์ประกอบเมื่อผุพังแล้วจะให้ชั้นดินทรายร่วนหรือดินทรายปนดินเหนียว และให้ชั้นดินหนา
หินภูเขาไฟ มีอัตราการผุพังใกล้เคียงกับหินแกรนิต เมื่อผุพังให้ชั้นดินร่วนปนดินเหนียวหรือดินเหนียว และให้ชั้นดินหนาเช่นกัน
หินดินดาน – หินโคลน เมื่อผุพังจะให้ชั้นดินเป็นดินเหนียวปนทราย และมีความหนาน้อยกว่าหินแกรนิต
จากปัจจัยดังกล่าวพบว่า ดินที่ผุพังมาจากหินต่างชนิดกันจะให้ดินต่างชนิดกัน และความหนาต่างกัน คุณสมบัติของดินในการยึดเกาะระหว่างเม็ดดินและค่าแรงต้านทานการไหลของดินก็จะแตกต่างกันตามชนิดของดินนั้นๆด้วย ทำให้ไหล่เขามีความลาดชันไม่เท่ากัน และต้นไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติบนภูเขาต่างชนิดกันตามชนิดของชั้นดินและความสูงของภูเขา นอกจากชนิดของหินแล้ว ลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาเช่น รอยเลื่อน รอยแตก และทิศทางการวางตัวของชั้นหิน จะมีผลต่อการผุพังโดยเฉพาะหินที่มีรอยแตกมาก หินที่อยู่ในเขตรอยเลื่อนโดยเฉพาะรอยเลื่อนมีพลังจะมีการผุพังสูง เนื่องจากมวลหินที่รอยแตกนั้นจะมีช่องว่างให้น้ำและอากาศผ่านเข้าไปทำปฏิกิริยาทางเคมีให้หินผุพังได้ง่าย ชั้นหินในบางบริเวณหากมีการแทรกดันของหินอัคนีแทรกซอน หรือบริเวณที่มีน้ำพุร้อน และแหล่งแร่จากสายน้ำแร่ร้อน จะทำให้หินมีอัตราการผุพังยิ่งขึ้นไปอีกเพราะความร้อนและสารละลายน้ำแร่ร้อนที่มาจากหินอัคนีแทรกซอนจะไปทำ ปฎิกิริยา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเนื้อหิน


2.สภาพภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศเป็นผลที่เกิดจากขบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก การผุพังที่แตกต่างกันของชั้นหินและลักษณะการวางตัวของโครงสร้างชั้นหิน ซึ่งเป็นปัจจัยอีกตัวที่มีผลต่อเสถียรภาพของดินบนภูเขา ค่าความลาดชันจะมีความสัมพันธ์โดยตรง กับเสถียรภาพของดินที่อยู่บนภูเขา กล่าวคือยิ่งบริเวณใดที่มีความลาดชันสูง ยิ่งมีโอกาสที่ดินจะเกิดการสูญเสียเสถียรภาพและเคลื่อนที่ลงมาตามลาดชันของภูเขาได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นดินทรายร่วนที่ไม่มีแรงยึดเกาะระหว่างเม็ดดินมีโอกาสจะถล่มลงมาได้สูงเมื่อผนวกเข้ากับปัจจัยตัวอื่นๆ ซึ่งจากการศึกษาของ วรวุฒิ ตันติวนิช (2535) ได้รายงานผลการศึกษาการเกิดดินถล่มที่บ้านกระทูนเหนือ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 พบว่ารอยดินถล่มส่วนมากพบอยู่ในบริเวณที่มีความลาดชันมากกว่าร้อยละ 30
นอกจากนี้ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นร่องเขาหน้ารับน้ำฝนและเป็นบริเวณที่น้ำฝนไหลมารวมกันจะทำให้ปริมาณน้ำในมวลดินสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้บริเวณพื้นมีค่าอัตราส่วนความปลอดภัยของลาดดินลดลง มีโอกาสเกิดการเคลื่อนตัว และถล่มลงมาได้มากกว่าพื้นที่ที่ไม่ใช่ร่องเขาหน้ารับน้ำฝน


3.ปริมาณน้ำฝน
ดินถล่มที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย จะเกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักเป็นเวลานาน โดยน้ำฝนจะไหลซึมลงไปในชั้นดินจนกระทั่งชั้นดินชุ่มน้ำ ไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ เนื่องจากความดันของน้ำในดินเพิ่มขึ้น ( Piezometric head ) เป็นการเพิ่มความดันในช่องว่างของเม็ดดิน ( Pore Pressure ) ดันให้ดินมีการเคลื่อนที่ลงมาตามลาดเขาได้ง่ายขึ้น และนอกจากนี้แล้วน้ำที่เข้าไปแทนที่ช่องว่างระหว่างเม็ดดินทำให้แรงยึดเกาะระหว่างเม็ดดินลดน้อยลง ส่งผลให้ดินมีกำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินลดลงทำให้ความปลอดภัยของลาดดินลดลงไปด้วย (วรากร ไม้เรียง, 2546 ) และถ้าหากปริมาณน้ำในมวลดินเพิ่มขึ้นจนมวลดินอิ่มตัวไปด้วยน้ำ และระดับน้ำในชั้นดินสูงขึ้นมาที่ระดับผิวดินจะเกิดการไหลบนผิวดินและกัดเซาะหน้าดิน ความปลอดภัยของลาดดินจะลดลงไปครึ่งหนึ่งของสภาวะปกติ ( Glawe ,2004) หมายความว่าลาดดินเริ่มมีการเคลื่อนตัวตามระนาบของการเคลื่อนตัวของดิน และถ้าฝนตกต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานออกไป น้ำจะไหลลงไปในระนาบของรอยการเคลื่อนตัวและชะล้างเม็ดดินที่เป็นดินเหนียวออกไปตามแนวระนาบทำให้ค่าแรงยึดเกาะระหว่างเม็ดดินบริเวณระนาบการเคลื่อนตัว ลดลงไปอย่างมาก ก่อให้เกิดดินถล่มลงมาตามความลาดชันของไหล่เขา จากการศึกษาข้อมูลปริมาณน้ำฝนร่วมกันกับประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัด (คณะสำรวจพื้นที่เกิดเหตุดินถล่มภาคเหนือตอนล่าง, 2550 ) พบว่าถ้าปริมาณน้ำฝนมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในรอบ 24 ชั่วโมง จะเกิดน้ำป่าไหลหลาก และหากปริมาณน้ำฝนมากกว่า 150 มิลลิเมตร ชั้นดินบางแห่งอาจเกิดดินไหลหรือดินถล่ม นอกจากนี้ปริมาณน้ำฝนที่ตกต่อเนื่องกันหลายวันสะสมมากกว่า 300 มิลลิเมตร บางแห่งอาจเกิดดินไหลหรือดินถล่มได้เช่นเดียวกัน


4.สภาพสิ่งแวดล้อม
จากบันทึกเหตุการณ์ดินถล่มในอดีต พบว่าพื้นที่เกิดดินถล่มส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงชันและหลายๆ พื้นที่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน จากรายงานของคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ( 2540 ) (อ้างถึงใน วรวุฒิ ตันติวนิช, 2548 ) พบพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ดินถล่ม ที่บ้านกระทูนเหนือ มีการเปลี่ยนแปลงสภาพป่าเป็นสวนยางพาราโดยเฉพาะพวกต้นยางที่ยังมีขนาดเล็กอยู่ หรือที่บ้านน้ำก้อ บ้านน้ำชุน มีการบุกรุกทำลายป่าไม้เพื่อทำไร่และทำการเกษตรบนที่สูง จากการศึกษาของ Abe และ Twamoto (1986) (อ้างถึงในกวี จรุงทวีเวทย์, 2546) พบว่าดินที่มีรากไม้ยึดเกาะจะมีค่าแรงยึดเหนียวระหว่างเม็ดดินมากกว่าดินที่ไม่มีรากไม้ ซึ่งทำให้ค่ากำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากว่ารากพืชที่แทรกตัวในเนื้อดิน จะแทรกซอนผ่านแนวระนาบเฉือนของพื้นราบ ซึ่งจะช่วยรับแรงดึงและยึดโครงสร้างดินทำให้ดินมีค่ากำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินสูงขึ้น จากการศึกษาของ กวี จรุงทวีเวทย์ (2546) พบว่า การเพิ่มขึ้นของค่ากำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินจะมีการเปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับคุณสมบัติ ความหนาแน่นของรากพืช หมายความว่าชั้นดินที่มีรากพืชหนาแน่นมาก ค่ากำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และในการศึกษาเดียวกันนี้ ได้ทำการจำลองอิทธิพลของรากพืชต่อการเพิ่มเสถียรภาพพื้นลาด ที่ระนาบเฉือนความลึกแตกต่างกัน พบว่าค่าอัตราส่วนความปลอดภัยพื้นลาดที่มีรากพืชแทรกอยู่ต่อพื้นลาดที่ไม่มีรากพืช มีค่ามากกว่าพื้นลาดที่ไม่มีรากพืช และมีค่ามากสุดที่ระดับความลึกของระนาบเฉือน 0.0-0.5 เมตร และลดลงไปตามระดับความลึกที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของรากพืชช่วยเพิ่มค่ากำลังรับแรงต้านทานการไหลของมวลดินเฉพาะในส่วนที่รากไม้หยั่งลึกลงไปถึงเท่านั้น และมีความหนาแน่นมาก หากเกิดการเฉือนของระนาบอยู่ลึกลงไปมากกว่าชั้นดินที่รากไม้จะหยั่งถึง รากไม้นั้นก็ไม่มีส่วนช่วยใดๆ ในกำลังรับแรงต้านทานการไหลของดิน กำลังรับแรงต้านทานการไหลของดิน ทั้งหมดก็จะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเม็ดดิน และแรงเสียดทานระหว่างเม็ดดิน ของชนิดดินนั้นๆ ดังที่เราจะเห็นได้ว่าเมื่อมีเหตุการณ์ดินถล่มบางพื้นที่ที่เป็นป่าสมบูรณ์ ดินโคลนจะถล่มลงมาพร้อมต้นไม้ โดยการเลื่อนไถลของต้นไม้ซึ่งเคลื่อนที่ลงไปในลักษณะลำต้นยังคงตั้งตรงอยู่ในแนวดิ่ง นอกจากคุณสมบัติในการเพิ่มกำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินแล้ว รากพืชยังมีส่วนในการดูดซึมเอาน้ำที่ไหลลงไปในดินให้มีปริมาณลดลงหรือชะลอการอิ่มตัวของดินอีกทาง


ลักษณะพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม

ลักษณะที่ตั้งของหมู่บ้านเสี่ยงภัยดินถล่มมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้ - อยู่ติดภูเขาและใกล้ลำห้วย - มีร่องรอยดินไหลหรือดินเลื่อนบนภูเขา - มีรอยแยกของพื้นดินบนภูเขา - อยู่บนเนินหน้าหุบเขาและเคยมีโคลนถล่มมาบ้าง - ถูกน้ำป่าไหลหลากและท่วมบ่อย - มีกองหิน เนินทรายปนโคลนและต้นไม้ ในห้วยใกล้หมู่บ้าน - พื้นห้วยจะมีก้อนหินขนาดเล็กใหญ่อยู่ปนกันตลอดท้องน้ำ


ข้อสังเกตุหรือสิ่งบอกเหตุ

- มีฝนตกหนักถึงหนักมาก (มากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน)
- ระดับน้ำในห้วยสูงขึ้นอย่างรวด
- สีของน้ำเปลี่ยนเป็นสีของดินบนภูเขา
-มีเสียงดัง อื้ออึง ผิดปกติดังมาจากภูเขาและลำห้วย
-น้ำท่วมหมู่บ้าน และเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว



ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี 75/10 ถ.พระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400โทรศัพท์ 02-621-9700 โทรสาร 02-621-9795 (update:26 มิถุนายน 2552)

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้อมูลหลุมเจาะ อำเภอบ้านหมี่




จากการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับหลุมเจาะ ของอำเภอ บ้านหมี่ จังหวัด ลพบุรี ได้โครงการวิเคราะห์หาสาเหตุของการชำรุดของถนนลาดยาง ต.-อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีข้อมูลการขุดเจาะทั้งหมดจำนวน 4 หลุม


BH 1.1















หลุมที่ 1 มีความลึก 6.45 m.





BH2.1



















หลุมที่2 มีความลึก 6.45 m.






BH3.1





















หลุมที่3 มีความลึก 6.45



BH4.1





















หลุมที่4 หลุมมีความลึก 6.45 m.

หินปูน (CaCO3) ที่ใช้ในงานก่อสร้าง



หินปูน (CaCO3)

ข้อมูลทั่วไป

หินปูนจัดอยู่ในกลุ่มของหินชั้น ซึ่งประกอบขึ้นจากแร่แคลไซต์ (แคลเซียมคาร์บอเนต) และสารตกตะกอน หินปูนเกิดจาก การทับถมของสารอนินทรีย์และซากสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลภายใต้ความกดดัน เช่น ปะการัง และกระดองสัตว์ จากนั้นซากฟอสซิล เหล่านี้จึงตกผลึกใหม่กลายเป็นแร่แคลไซต์เมื่อหยดน้ำส้มสายชูลงบนหินปูน จะเกิดฟองฟู่ ซึ่งแสดง ให้เห็นว่าแร่ชนิดนี้ ละลายได้ดีในกรด หรือแช่หินปูนในกระปุก น้ำส้มสายชู ปิดฝาทิ้งไว้ จะสังเกตเห็นฟองที่เกิดจาก แคลเซียมคาร์บอเนต และหลังจากนั้นสองสามวัน จะพบว่า ก้อนหินละลายออกเป็นส่วนๆชอล์กนับว่าเป็นหินปูนชนิดหนึ่งซึ่งทำมาจากอินทรียสาร ที่มีขนาดเล็กมาก ชอล์กมักมีสีขาวและเทาหินปูนเป็นแร่ที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง เนื่องจาก ใช้ผสมคอนกรีต ทำซีเมนต์ ปูน หรือใช้เป็นหิน สำหรับก่อสร้างได้ นอกจากนี้ยังนำหินปูนมาใช้ในอุตสาหกรรม การผลิตแก้ว เป็นสารฟิลเลอร์ ผงขัด สารบำรุงดิน หรือผลิตสารเคมีอื่นๆ ส่วนปูนขาวเกิดจากกระบวนการ แคลซิเนชั่น (calcination) กล่าวคือ ทำให้หินปูนมีอุณหภูมิสูง ถึงจุดที่คาร์บอเนตหลอมละลาย (402- 898 องศาเซลเซียส) จนกระทั่งเกิดก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ นอกจากคำว่า “ปูน” จะหมายถึงหินปูนบดแล้ว ยังหมายถึงปูนขาวและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีกด้วย

ประโยชน์การใช้งาน

หินปูนสามารถใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การผลิตปูนซีเมนต์ และแก้ว ส่วน หินปูนบดช่วยรักษาค่า PH ในดินและแหล่งน้ำ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะฝนกรดวิธีการผลิตซีเมนต์ทำได้โดยอบการเผาหินปูนบดในเตาเผา นำซีเมนต์ไปผสมกับน้ำ ทราย และหินกรวด จนเกิดปฏิกิริยาทางเคมีก ลายเป็นคอนกรีต ส่วนวิธีการผลิตแก้วทำได้โดยผสมหินปูน ทราย และโซดา (โซเดียมคาร์บอเนต) เข้าด้วยกัน

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เนื้อหารายวิชา CEN370 Engineering Geology

http://www.csus.edu/geology/geo_Learning Objectives:

1. Recognize, classify and compute the internal and external engineering properties of naturalmaterials.2. Outline the distribution of stresses and strains on natural materials under normal and adverseconditions.3. Discuss gross and specific characteristics of geologic materials and their inherent effect on thestability of natural and man-made structures.4. Develop a quantitative understanding of natural processes (earthquakes, landslides, floods, etc.)and the appropriate engineering considerations for structures built in areas where they occur.5. Understand and be able to apply general geophysical principles to characterize physical propertiesof natural materials.students/syllabi/Geol%20293%20Cornwell.pdf

Landmark

http://maps.google.co.th/maps?f=q&source=s_q&hl=th&geocode=&q=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3&sll=15.084389,102.216797&sspn=0.08105,0.094585&ie=UTF8&hq=&hnear=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3+%E0%B8%AD.%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99+%E0%B8%88.%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87&ll=7.091864,99.590549&spn=0.0833,0.094585&z=13

ประวัตินักวิศวกร


หลายศตวรรษที่ผ่านมา มนุษย์ได้ท้าทาย ข้อจำกัด ทาง สถาปัตยกรรม และวิศวกรรม เพื่อ ความ พยายาม ที่จะได้ใกล้ชิดกับ พระเจ้ามากขึ้น บ้างก็พยายามแสวงหา ประโยชน์ใช้สอยจาก หอคอยโดยการ ทำเสาอากาศ ภัตตาคาร แต่ความคิดที่ บริสุทธิ์ ซึ่ง แฝงอยู่ในนั้น กลับเป็น สิ่งที่น่า ดึงดูดใจยิ่งกว่า
หอคอยเป็นเครื่อง แสดงให้เห็น ถึง ความทะเยอทยานของ มนุษย์ ที่ไม่มี วันสิ้นสุด และหอคอยอันเป็นที่รัก ของชาวโลกมากที่สุดคือ "หอไอเฟล" (Eiffel Tower) ผลงานชิ้นเอก ในการ ฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศส อันนองเลือดเมื่อ 100กว่าปีก่อน ณ กรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส ความสูงที่เสียดฟ้า ความ โดดเด่น เป็นสง่า และรูปทรงที่อ่อนช้อย คือเครื่องสะท้อนให้เห็นถึง จิตวิญญาณของชาวฝรั่งเศส เป็นสิ่งที่ชาญฉลาด ทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้าง หอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาเอง ก็มี การ ออกแบบ ไว้อยู่ หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริง ขึ้นมา
วันนี้ Biography จึงจะพาคุณย้อน อดีตไปรู้จักกับ วิศวกรคนเก่ง ที่ออกแบบ หอยคอยอัศจรรย์นี้ขึ้น เขาคือ “ กุสตาฟ ไอ-เฟล” ( Gustave Eiffel)
กุสตาฟ ไอเฟลได้ชื่อว่าเป็น วิศวกรและ สถาปนิกชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง ในช่วงปลาย ศตวรรษที่19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1832 ณ เมืองดิฌง ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงวัยเด็กเขาและ ครอบครัวได้อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ จวบจนไอเฟลเจริญวัย เขาจึงตัดสินใจไปศึกษาต่อใน กรุงปารีส
จากนั้นมา ไอเฟล ก็ ทุ่มเท ทั้งแรงกาย และใจกับ การคิดค้น ออก แบบ สถาปัตยกรรม ที่ใช้โครง เหล็กเป็น อย่างมาก ในปี 1887 เขาและ เพื่อน ร่วมงานอีก 2 คน คือ เวอร์ริส คลอกลิน และเอมิล เลจิเย ที่ ได้รับงานสร้าง หอคอยสูง เสียดฟ้า ร่วมกัน เพื่อใช้เป็น สถานที่จัดงาน แสดงสินค้า ในปี 1890 ทั้งสามใช้เวลา สร้าง หอคอย ดังกล่าว รวม 2 ปี 2 เดือน กับ อีก 5 วัน ซึ่งผลงานที่ ออกมานั้นก็ ความ ประทับใจให้ แก่ชาวปารีส ไม่น้อย ซึ่งอาจ จะเป็น เพราะว่า ในช่วงนั้นยัง ไม่เคย มีใคร สามารถสร้าง หอคอยที่ มีความสูง ถึง 300 เมตร มาก่อน ประกอบกับ รูปทรง และวิธีการ สร้าง ก็ไม่ซ้ำ แบบ ใคร จึงทำให้ หอ คอย ดังกล่าว กลายเป็น สัญลักษณ์ ของ ประเทศ ฝรั่งเศส และเป็น อีก หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของ โลกด้วย
ในตอนแรกนั้นหอคอย ดังกล่าว ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งต่อมาไอเฟลได้เข้ามาทำหน้าที่ดูแล หอคอยดังกล่าว จึงมีการขนานนามหอคอยแห่งนี้ว่า 'หอไอเฟล' ผลงานของไอเฟลยังมีอีกมาก มายไม่ว่า จะเป็น การออกแบบ โครงสร้างเหล็กให้กับสะพานต่างๆ ทั่วยุโรป หรือการออก แบบโครงเหล็กของเทพีเสรีภาพที่ รัฐบาลฝรั่งเศส มอบให้รัฐบาล สหรัฐฯ เพื่อเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีที่สหรัฐฯ ประกาศเอกราชก็ตาม
ชีวิตของไอเฟลมาถึงจุดตกต่ำที่สุด เมื่อตอนที่เขา เข้าร่วม โครงการสร้างคลองปานามากับ เฟอร์ดินัน เดอ เลเซต ซึ่งโครงการดังกล่าว ล้มเหลวทำให้รัฐบาลฝรั่งเศส ในฐานะผู้ลงทุนเกือบถึงขั้น ล้มละลายเลยทีเดียว ไอเฟลเอง ถูกตัดสิน ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่ต่อมาเขาก็ ได้รับการยกเว้นโทษ จากนั้น เขาก็ได้อุทิศตัวเองให้ กับการค้นคว้าด้านอากาศ พลศาสตร์ เขาสร้างห้องทดลองเพื่อ ศึกษาแรงต้านทานลม และสร้างอุโมงค์ ลมขึ้น เป็น แห่งแรกด้วย
จริง ๆ แล้วตอนแรก เขาตั้งใจ จะ เข้า เรียนต่อ ที่ "L'Ecole Polytechnique "ซึ่ง เป็น สถาบัน อาชีวะ ที่มีชื่อเสียง ในประเทศ ฝรั่งเศส ทว่า เขาพลาดไปในตอนสอบ ปาก เปล่า จึงทำให้ต้อง หันมาเรียนที่ สถาบัน Ecole Centrale de Paris แทน
หลังจบการศึกษาไอเฟลเริ่มต้น ชีวิตการทำงานด้วยการ เป็นเลขาฯ ของชาร์ลส์ เนอป์เวอ ซึ่งเป็นผู้ชักนำเขาให้ ก้าวเข้า สู่วงการการก่อสร้างโดย ใช้โครงเหล็ก ปี 1862 ไอเฟลตัดสินใจแต่งงานกับ มารี โกลเดอเลต์ และทั้งคู่ก็มีพยานรักด้วยกัน ถึง 5 คน เป็นชาย 2 คน และ หญิง 3 คน แต่ชีวิตสมรสของ ทั้งคู่ดำเนิน ไปได้ไม่นานก็ มีอันต้องจบลง เมื่อผู้เป็นภรรยา สุดที่รัก ของเขา ได้ถึงแก่กรรมในปี 1877
ไอเฟลเสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ปี 1923 ด้วยวัย 91 ปี ถึงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ที่มีอายุยืนยาวคนหนึ่ง วิสัยทัศน์ของเขาส่งผลให้ฝรั่งเศส กลายเป็น ประเทศแถวหน้าด้าน เทคโนโลยีการออกแบบ โครงสร้างเหล็ก ของโลกใน ยุคต่อมาด้วย
โบราณ